PHRANAKHON STORY
โครงการประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมสร้างสรรค์สื่อร่วมสมัยให้หัวใจพระนคร
Supported by Thai Media Fund
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ 23 แห่ง
วัดราชบพิธฯ นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณ
ราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล
วัดราชบพิธฯ เป็นวัดสำคัญที่พระสันตะปาปาสองพระองค์เคยเสด็จเยือน ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2527 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปรินายก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412
รูปทรงภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย หลังคาด้านหน้ามีมุขเด็จมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี ติดช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันมุขเป็นรูปช้าง 7 เศียร เทิดพานทองรองรับใส่มงกุฎ
พระวิหารมีรูปทรงแบบเดียวกับพระอุโบสถทั้งภายในและภายนอก แตกต่างกันตรงที่บานประตูและหน้าต่างสลักด้วยไม้เป็นลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เป็นพระเจดีย์ทรงไทยย่อเหลี่ยมฐานคูหาประดับกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์ทั้งองค์ ประดิษฐานอยู่กึ่งกลางเป็นประธานของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดบนพื้นไพที
ผนังประดับกระเบื้องลายเบญจรงค์เชื่อมพระอุโบสถกับพระวิหารมุขและพระวิหารล้อมองค์พระเจดีย์ใหญ่
อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตรงกับพระเจดีย์ใหญ่เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในพระระเบียงรอบเจดีย์
เป็นศาลารายหลังเล็ก ๆ ขนาด 2 ห้อง รอบไพทีมีทั้งหมดจำนวน 8 หลัง อยู่ทางด้านหน้าพระโบสถ 2 หลัง
หอระฆังมีลักษณะ 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนชั้นบนทำเป็นซุ้มมงกุฎโปร่งทั้ง 4 ด้าน ตรงมุมย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง
ตั้งอยู่มุมกำแพงวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวพลับพลาก่ออิฐถือปูนหลังคาลด 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
ตั้งอยู่นอกเขตกำแพงมหาสีมาธรรมจักของวัดด้านทิศตะวัน ติดกับถนนอัษฎางค์ ริมคลองคูเมืองเดิม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก
ชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ
และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่ง
อย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง และมีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพง 8 ทิศ “ราชบพิธ” หมายถึง พระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง บพิธ คำนี้มาจากภาษาบาลีคือ ปวิธะ ที่แปลว่าสร้าง ส่วน “สถิตมหาสีมาราม” หมายถึง
พระอารามซึ่งมีสีมากว้างใหญ่ เป็นมหาสีมาล้อมรอบอาณาเขตของวัด
วัดราชบพิธฯ นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง
ตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล
วัดราชบพิธฯ
เป็นวัดสำคัญที่พระสันตะปาปาสองพระองค์เคยเสด็จเยือน ได้แก่ สมเด็จ
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2527 และสมเด็จ
พระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเข้าเฝ้า
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
รูปทรงภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย หลังคาด้านหน้ามีมุขเด็จมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี ติดช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันมุขเป็นรูปช้าง 7 เศียร เทิดพานทองรองรับใส่มงกุฎขนาบสองข้างด้วยฉัตรมีราชสีห์และคชสีห์ประคอง หน้าบัน
มุขเด็จเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ประตูหน้าต่างมีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง บานประตู 10 บาน
บานหน้าต่าง 28 บาน ด้านในเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ ด้านนอกเป็นตราราชอิสริยาภรณ์ชั้นที่หนึ่งรวม 5 ดวง
เฉพาะที่บานประตูเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง 5 นี้ มีสายสะพายล้อมวงกลมและสร้อยทับอยู่บนสายสะพายกับมีโบว์
ห้อยดวงตราอีกชั้นหนึ่ง ลายประดับมุขที่บานประตูและหน้าต่างนี้ยกย่องว่าเป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัย
กรุงรัตนโกสินทร์ ด้านข้างของซุ้มแต่ะด้านเป็นรูปเซี่ยวกางถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์
ด้านข้างของซุ้มหน้าต่างแต่ละด้านเป็นรูปเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกนก ภายในพระอุโบสถเป็นแบบยุโรปผสม
แบบไทย เพดานเป็นลายเครือเถาสีทอง ผนังระหว่างช่องหน้าต่างเป็นรูปอุณาโลม และมีอักษร จ. สลับเหนือซุ้มกลางประตู ภายในปั้นเป็นรูปตราแผ่นดินประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5 โดนจำลองแบบจากตรางาประจำพระองค์ การตกแต่งภายในพระอุโบสถและผนังชั้นบนระหว่างเสาคูหาเป็นภาพพุทธประวัติ ส่วนการให้สีภายในพระอุโบสถงดงามและปิดทองบางแห่ง
พระวิหารมีรูปทรงแบบเดียวกับพระอุโบสถทั้งภายในและภายนอก แตกต่างกันตรงที่บานประตูและหน้าต่างสลักด้วยไม้
เป็นลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในขณะที่พระอุโบสถเป็นลายประดับมุข นอกจากนี้ลวดลายภายในพระวิหารจะมีเฉพาะที่เพดานบัวกั้นผนังชั้นล่างและชั้นบน และกรอบหน้าต่างเท่านั้น นอกนั้นผนังเป็นสีทองไม่มีลวดลาย ภายในพระวิหาร ผนังด้านบนทาสีชมพูเขียนลายดอกไม้ร่วง ตอนล่างทำเป็นอุณาโลมสลับกับอักษร จ บานหน้าต่างด้านในเป็นลายรน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์
พระประธานป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นามว่า พระประทีปวโรทัย
เป็นพระเจดีย์ทรงไทยย่อเหลี่ยมฐานคูหาประดับกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์ทั้งองค์ ประดิษฐานอยู่กึ่งกลางเป็นประธาน
ของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดบนพื้นไพที ยอดปลีพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 6,018 องค์ ลูกแก้วยอดปลีพระเจดีย์
ทำด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบทอง เหนือฐานพระเจดีย์มีซุ้มโดยรอบ รวม 14 ซุ้ม นับตั้งแต่ซุ้มพระรูปหล่อของพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และพระพุทธรูปเหนือซุ้ม มีชานและกำแพแก้วสำหรับเดินรอบเจดีย์
ตรงกลางองค์พระเจดีย์มีชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาปางนาคปรกสมัยลพบุรี 2 องค์ นอกจากนี้ผนังด้านใน
องค์พระเจดีย์มีช่องประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดย่อม 6 องค์
ผนังประดับกระเบื้องลายเบญจรงค์เชื่อมพระอุโบสถกับพระวิหารมุขและพระวิหารล้อมองค์พระเจดีย์ใหญ่ ด้านนอกมีทางเดิน
ปูด้วยหินอ่อนและมีเสากลมรับกับเชิงชาย ส่วนด้านในเป็นพื้นสองชั้นมีเสาก่ออิฐถือปูนย่อเหลี่ยมรับเครื่องบนและเชิงชาย
อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตรงกับพระเจดีย์ใหญ่เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในพระระเบียงรอบเจดีย์ หน้าบันมุขชั้นบน
เป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ หน้าบันมุขชั้นล่างเป็นรูปช้างสามเศียรเทิดบุษบกและซุ้มประตูทางเข้าเป็นทรงมณฑปครึ่งซีก
บานประตูเป็นภาพเขียนสีรูปเซี่ยวกาง
เป็นศาลารายหลังเล็ก ๆ ขนาด 2 ห้อง รอบไพทีมีทั้งหมดจำนวน 8 หลัง อยู่ทางด้านหน้าพระโบสถ 2 หลัง
หน้าพระวิหาร 2 หลัง และหน้าพระวิหารทิศทั้งด้านตะวันตก
และตะวันออก ด้านละ 2 หลัง หน้าบันของศาลาราย
เป็นรูปเทพพนมล้อมรอบด้วยลายกนก
หอระฆังมีลักษณะ 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนชั้นบนทำเป็นซุ้มมงกุฎโปร่งทั้ง 4 ด้าน ตรงมุมย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง ยอดเป็นรูป
พระเกี้ยวประดับด้วยกระเบื้อลายเบญจรงค์ ส่วนหอกลอง มีลักษณะเช่นเดียวกับหอระฆัง แต่มีกระจกสี 3 ด้าน
ตั้งอยู่มุมกำแพงวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวพลับพลาก่ออิฐถือปูนหลังคาลด 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หนาบันเป็นตราราชวัลลภ ประกอบด้วยโล่ ช้างสมาเศียรเทิดพานแว่นฟ้าประดิษฐานพระเกี้ยวและมีราชสีห์คชสีห์ถือฉัตร 7 ชั้น อยู่ทางซ้ายและขวา บานหน้าต่างและบานประตูพลับพลาประดับด้วยกระจกสี ด้านหน้าพลับพลาเป็นเกยก่ออิฐถือปูน เกยและพลับพลานี้สร้างไว้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานผ้ากฐินโดยทางสถลมารค (ทางบก) ตามโบราณราชประเพณี จะทรงฉลองพระองค์ด้วยขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประทับพระราชยานมีพนักงานเจ้าหน้าที่หามมาเทียบ
ที่เกยเสด็จขึ้นพลับพลาทรงเปลื้องเครื่องขัตติยาราชภูษิตาภรณ์เปลี่ยนฉลองพฃพระองค์ใหม่ แล้วจึงเสด็จไปพระอุโบสถ
ตั้งอยู่นอกเขตกำแพงมหาสีมาธรรมจักของวัดด้านทิศตะวัน ติดกับถนนอัษฎางค์ ริมคลองคูเมืองเดิม พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่บรรจุพระอัฐิ และพระสรีรางคาร ไว้นั้นเพื่อเป็นพระบรม
ราชูทิศพระราชกุศลแก่พระบรมราชเทวี พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระองค์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ กันทั้งพระเจดีย์ พระปรางค์ วิหารแบบไทย แบบขอม (ศิลปะปรางค์ลพบุรี) และแบบโกธิค โดยตั้งอยู่
ในสวนซึ่งมีต้นลั่นทมและพุ่มพรรณไม้ต่างๆ ปลูกไว้อย่างสวยงาม อนุสาวรีย์ที่สำคัญคือ เจดีย์สีทอง 4 องค์ เรียงลำดับ
จากเหนือไปใต้ ซึ่งมีชื่อสอดคล้องกันดังนี้
1. สุนันทานุสาวรีย์ บรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้า
สุนันทากุมารีรัตน์บรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา
2. รังษีวัฒนา บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี และพระราชนัดดา เช่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้า
มหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระราชปิตุจฉา
เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก รวมทั้งสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
3. เสาวภาประดิษฐาน บรรจุพระสรีรางคารพระราชโอรส
พระราชธิดาอันประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และพระราชนัดดา เช่น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี
4. สุขุมาลนฤมิตร์ บรรจุพระสรีรางคารพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
และพระนัดดา
นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์ที่สำคัญอื่นๆ ประดิษฐานอยู่ในสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามด้วย เช่น อนุสาวรีย์
รูปปรางค์ 3 ยอด บรรจุพระสรีรางคารพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
และพระประยูรญาติ พระโอรสและธิดา รวมทั้งสมาชิกสายราชสกุลยุคล อนุสาวรีย์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี บรรจุพระสรีรางคารเจ้าดารารัศมี พระราชชายา และพระราชธิดา อนุสาวรีย์เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ หรือ "วิหารน้อย" บรรจุสรีรางคารเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าคุณจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5) และพระธิดา รวมทั้งเจ้าจอมมารดาโหมด ในรัชกาลที่ 5 และพระโอรส พระธิดา ตลอดจนสมาชิกสายราชสกุลอาภากร และราชสกุลสุริยง