PHRANAKHON STORY
โครงการประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมสร้างสรรค์สื่อร่วมสมัยให้หัวใจพระนคร
Supported by Thai Media Fund
๑๖ แห่ง พระราชวังสำคัญในเขตพระนคร
วังบูรพาภิรมย์
วังบูรพาภิรมย์ เป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพระราชทาน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์สุดท้องในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อ พ.ศ. 2418
และวังบูรพาภิรมย์ได้รับการออกแบบโดยนายโจอาคีโน กรัสซี (Gioachino Grassi) สถาปนิกชาวอิตาลี-ออสเตรีย
เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานแนวอาณานิคม สร้างเป็นพระตำหนักใหญ่สูง 2 ชั้น
ประวัติพระราชวัง
วังบูรพาภิรมย์
วังบูรพาภิรมย์ เป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นพระราชทาน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์สุดท้อง
ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อ พ.ศ. 2418
พื้นที่บริเวณนี้เป็นวังเก่ามาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้านายที่เคยประทับที่นี่
ล้วนเป็นพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับมอบหมายให้มารักษาพระนครด้าน
ทิศตะวันออก ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร,
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์, พระสัมพันธวงศ์เธอ
กรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์
และพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนรินทรเทพ [1] เมื่อมีการสร้างวังใหม่
ในรัชกาลที่ 5 จึงได้รับพระราชทานนามซึ่งหมายถึง "วังที่อยู่ทางทิศตะวันออก" คือ วังบูรพาภิรมย์ หรือ วังบูรพา
การออกแบบ
วังบูรพาภิรมย์
วังบูรพาภิรมย์ได้รับการออกแบบโดยนายโจอาคีโน กรัสซี (Gioachino Grassi) สถาปนิกชาวอิตาลี-ออสเตรีย[2] เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานแนวอาณานิคม สร้างเป็นพระตำหนักใหญ่สูง 2 ชั้น ประกอบด้วยอาคาร 3 หลัง
เนื้อที่กว้างขวางตั้งแต่ริมถนนตรงป้อมมหาไชยจนถึงสะพานเหล็ก ใช้เวลาสร้าง 6 ปี ตั้งแต่เริ่มวางศิลาฤกษ์เมื่อวันแรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีกุนสัปตศก
จุลศักราช 1237 ตรงกับวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ 2418
การเปลี่ยนแปลง
วังบูรพาภิรมย์
ที่รับรองรพินทรนาถ ฐากูร ปราชญ์ชาวอินเดีย
เมื่อสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา
ภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จมาประทับ ณ วังนี้แล้ว โปรดให้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่เสมอ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินมางานเต้นรำที่นี่อยู่เสมอ นอกจากนี้ วังนี้ยังเคยใช้เป็นที่รับรองรพินทรนาถ ฐากูร ปราชญ์ชาวอินเดีย
เมื่อครั้งมาบรรยายในประเทศไทย
โรงเรียนสตรีภานุทัต/โรงเรียนสตรีภานุทัต
หลังจากสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2471 วังนี้ก็ซบเซาลง ทายาทของท่านให้เช่าเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีภานุทัต
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามสงบลง ก็ใช้เป็นอาคารเรียน
ของโรงเรียนพณิชยการพระนคร
ศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์สามแห่ง
เมื่อ พ.ศ. 2495 ทายาทราชสกุลภาณุพันธุ์ได้ขายวังบูรพาให้เอกชน คือนายโอสถ โกศิน
ในราคา 12 ล้าน 2 หมื่นบาท มีการรื้อวังออก เพื่อสร้างเป็นศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์
สามแห่ง คือโรงภาพยนตร์คิงส์ โรงภาพยนตร์ควีนส์ และโรงภาพยนตร์แกรนด์
ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2497
เมื่อรวมกับตลาดมิ่งเมือง (ปัจจุบันคือศูนย์การค้าดิโอลด์สยามพลาซ่า) และโรงภาพยนตร์
อีกแห่งหนึ่งคือ ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี
ในปี พ.ศ. 2475 จึงนับว่าย่านนี้เป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น
ในช่วง พ.ศ. 2499–2500 ย่านนี้ได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่นหนุ่มสาวทันสมัย เรียกว่าเป็น โก๋หลังวัง ซึ่งหมายถึงวังบูรพานั่นเอง ทุกวันนี้ศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์เหล่านั้นล้วนเลิกกิจการไปหมดแล้ว แต่ย่านดังกล่าวก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ วังบูรพา
สิงโตวังบูรพา
วังบูรพาภิรมย์
ด้านหน้าวังบูรพาภิรมย์ มีรูปปั้นสิงโตสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่อยู่คู่หนึ่ง
เมื่อมีการรื้อวัง ได้มีการย้ายสิงโตคู่นี้ไปอยู่ที่วังพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ เมื่อพระองค์เจ้านรเศรษฐ์สิ้นพระชนม์
ก็ได้ย้ายสิงโตไปตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันย้ายไปอยู่หน้าตึกกองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก